วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ประวัติส่วนตัว


ชื่อ น.ส. นิศากร นามสกุล สัจจะเวทะ อายุ 21 ปี


เกิดวันที่ 14 สิงหาคม 2530 ตามทะเบียน แต่เกิดจริงๆ วันที่ 31 กรกฎาคม 2530 (ทำไม!หนะ หรอ แม่ไม่ได้ไปแจ้งเกิดไง ก็เพราะว่าแม่ไปคลอดที่สถานีอนามัย)


ชื่อเล่นๆ ปังปอนด์ , เชอรี่ ( แต่เพื่อนๆชอบเรียกว่า เชอร์ คะ )


สถานที่ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะ วิทยาการจัดการ สาขา บริหารธุรกิจ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ




ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน 164 ถ. วุฒากาส แขวง ตลาดพลู เขต ธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600


ที่อยู่ปัจจุบัน 239 ถ. เทอดไท แขวง บางยี่เรือ เขต ธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600


นิสัยส่วนตัว เป็นคนขี้เบื่อง่าย โกรธง่าย หายเร็ว ค่อนข้างแคร์ความรู้สึกของคนอื่น ขี้ใจน้อย ชอบคิดมาก รักสนุก ร่าเริง


ประสบการณ์ทำงาน เคยเป็นพนักงานขายเครื่องสำอาง THE BODY SHOP


งานอดิเรก ชอบวาดรูป ดูหนัง ฟังเพลง เดินซื้อของ


คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด


สิ่งที่จะจดจำไม่มีวันลืม วันที่ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรคะ


ความใฝ่ฝันเมื่อเรียนจบ อยากมีงานดีๆทำ มีเงินเดือนเลี้ยงครอบครัวได้คะ

ตำนาน "ช็อกโกแลต"

ชาวมายาซึ่งอาศัยอยู่ใน ทวีปอเมริกากลาง เมื่อราว 1,400 ปีก่อน เคยดื่มน้ำชนิดหนึ่งซึ่ง หอมกรุ่นและให้ รสชาติซาบซ่าน เรียกว่า “ช็อกโกแลทัล” ฟังคุ้นๆ ไหม? ใช่แล้ว ชนโบราณเผ่านี้ ดื่มน้ำช็อกโกแลต!
เราเป็นหนี้บุญคุณชาวมายา เพราะพวกเขาเป็น ผู้เสกต้นโกโก้ให้กลายเป็นช็อกโกแลต นับเป็นการค้นพบที่สำคัญยิ่งต่อปากของมนุษยชาติ ต้นโกโก้ปลูกกันทั่วทวีปอเมริกากลางเมื่อ สองพันปีก่อน เติบโตได้ดีในอากาศร้อนและในผลโกโก้ นี่แหละที่ซ่อนเมล็ดเล็กๆ สีม่วงไว้มาก มาย เมื่อนำเมล็ดอัศจรรย์เหล่านี้ไปตากแห้งและผ่านกระบวนการต่างๆ มันก็จะกลายสภาพเป็นช็อกโกแลตที่เราโปรด ปรานนั่นเอง

คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นชาวยุโรป คนแรกที่ได้เห็นและสัมผัสเมล็ดโกโก้ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครในแถบยุโรปรู้จักช็อกโกแลตที่แสนอร่อยเลยจนกระทั่ง ค.ศ. 1492 ซึ่งเป็นปีที่โคลัมบัส ค้นพบทวีปอเมริกา ลูกชายของโคลัมบัสซึ่งติดตามไปอเมริกาด้วย ได้พบเรือบดบรรทุกสินค้าลำใหญ่ของ ชาวพื้นเมือง เขาบันทึกเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1502 ไว้ว่า “พวกชนพื้นเมือง อเมริกันถือว่าเมล็ดถั่ว (หมายถึงเมล็ดโกโก้) มีค่ามาก พอเมล็ดถั่วตก พวกเขาทุกคน จะหยุดแล้วเก็บมัน ขึ้นมาราวกับทำลูกตา ตกหล่นอย่างนั้นแหละ”
โคลัมบัสกับลูกเรือไม่รู้ว่า เมล็ดโกโก้ เป็นสิ่งที่ใช้แทนเงิน (ถ้ารู้คงไม่เขียนนินทา ชาวพื้นเมืองอย่างนั้นแน่) เมื่อกลับยุโรป ในบรรดาสิ่งของน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ที่โคลัมบัสนำมาถวายกษัตริย์และราชินีของสเปนนั้น มีเมล็ดดำๆ เล็กๆ คล้ายถั่วปะปนอยู่ ดูแล้วไม่รู้จะเก็บ มาให้หนักทำไม ไม่มีใครรู้ว่าเมล็ดโกโก้ เหล่านี้แหละจะกลายเป็นช็อกโกแลต ที่ทำให้มนุษย์ ทั่วโลกหลงใหลในเวลาต่อมา กษัตริย์เฟอร์ดินันด์มองไม่เห็นคุณค่าของเมล็ดโกโก้ กว่าเมล็ดโกโก้จะกลายเป็น “สมบัติล้ำค่า” ขึ้นมาก็อีก 20 ปีให้หลังโน่น เมื่อเฮอร์นันโด คอร์เทส เดินทางไปพิชิตจักรวรรดิแอสเท็ค
ในช่วงที่คอร์เทส รุกรานแดนเม็กซิโก เขาเห็นชาวแอสเท็คใช้เมล็ดโกโก้ในการเตรียมเครื่องดื่มถวายกษัตริย์ นินทากันว่าจักรพรรดิ มอนเทซูมา ดื่มน้ำช็อกโกแลต ถึงวันละ 50 ถ้วย เมื่อคอร์เทส และกองทัพสเปนมาถึง พระองค์ (ซึ่งคิดว่าคอร์เทสเป็น เทพเจ้า) ทรงให้การต้อนรับด้วย น้ำช็อกโกแลตที่ใส่ในภาชนะทองคำ อย่างสุดหรูราวกับมันเป็นอาหารจากแดนสวรรค์ คอร์เทสเขียนบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ มอนเทซูมา ดื่มซอคาแลทัล “...ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เพิ่มพลังและขับไล่ ความเหนื่อยอ่อน ดื่มแก้วเดียวก็มีเรี่ยวแรงเดินได้ทั้งวัน โดยไม่ต้องกินอาหาร” แต่ซอคาแลทัลของท่านจักรพรรดิทำเอา คอร์เทสแทบสำลักเพราะ มีรสขมมาก ทหารบางคนบอกว่า “น่าจะโยนให้หมูกินดีกว่าเอามาให้พวกเรา”

ชนชั้นสูงดื่มกินน้ำช็อกโกแลต คนที่จะถูกสังเวยชีวิต ในพิธีบูชายัญมนุษย์ จะได้ดื่มน้ำช็อกโกแลตเพื่อ กระตุ้นจิตใจให้มีชีวิตชีวา (เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย) มีการถวายน้ำช็อกโกแลตให้เทพเจ้าเค็ทซัลคอทัลด้วย
ตามตำนานเล่าว่า เทพเค็ทซัลคอทัลหายลับไปจากโลกเพราะถูกสวรรค์ลงโทษที่นำช็อกโกแลต ซึ่งถือเป็นเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์จาก แดนสวรรค์มาให้มนุษย์ลิ้มลอง แต่สิ่งที่ท่านทิ้งไว้เป็นที่ระลึกก็คือ ต้นโกโก้ที่งอกงามไปทั่วพื้นดิน ท่านจึงได้ครองอีกตำแหน่งหนึ่งคือ เทพแห่งต้นโกโก้
ในปี 1529 เมื่อคอร์เทสปราบพวกแอสเท็คได้สำเร็จ เขาก็นำเมล็ดโกโก้ กลับสเปนด้วย จากนั้นรสชาติของ น้ำช็อกโกแลต ก็ได้รับอิทธิพลของสเปนคือ มีการเพิ่มน้ำตาลทราย วานิลลา กลิ่นอบเชยลงไป เครื่องดื่มนี้ชนะใจคนทุกคน โดยเฉพาะพวกผู้ดีในสเปน สเปนจึงสร้างไร่ โกโก้ในทวีปอเมริกากลางจนกลายเป็นธุรกิจใหญ่โต แต่เก็บศิลปะการทำน้ำช็อกโกแลตไว้เป็นความลับ จากพวกชนชาติยุโรปที่เหลือนานเกือบร้อยปี

พระชาวสเปนได้เก็บการทำน้ำช็อกโกแลตไว้เป็นความลับ แต่ในที่สุดก็รั่วไหลออกมา ภายในเวลาอันรวดเร็วผู้คนทั่วยุโรป ก็ติดอกติดใจน้ำช็อกโกแลตซึ่งถือเป็นอาหาร อร่อยที่เสริมสุขภาพ มีการดื่มกันที่ราชสำนักในฝรั่งเศส น้ำช็อกโกแลตกระจายข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1675 ร้านน้ำช็อกโกแลตแห่งแรกของอังกฤษก็เปิดขึ้น
การดื่มน้ำช็อกโกแลตในยุคนั้น ถือเป็นเรื่องทันสมัย แสดงถึงรสนิยมสูง บรรดาผู้ดีมีสกุลเท่านั้นจึงมีสิทธิลิ้มรส เมื่อเรือกลไฟถูกประดิษฐ์ขึ้น ก็สามารถขนส่งเมล็ดโกโก้ ได้คราวละเป็นจำนวนมาก พอถึงปี 1730 น้ำช็อกโกแลตจึงมีราคาถูกลง จนคนธรรมดาทั่วไปมีโอกาส ลืมตาอ้าปากกินกะเขามั่ง การประดิษฐ์เครื่องบดเมล็ดโกโก้ ในปี 1828 ยิ่งทำให้น้ำช็อกโกแลตราคาถูกลงไปอีก ทั้งยังช่วยกรองไขมันของเมล็ดโกโก้ ออกไปให้รสชาติที่น่าหลงใหลขึ้น จากนั้นมาการดื่ม น้ำช็อกโกแลตก็แพร่หลายมาจนทุกวันนี้ ในศตวรรษที่ 19 ช็อกโกแลตมีการเปลี่ยนรูป เปลี่ยนร่างอยู่สองอย่างคือ ในปี 1847 บริษัทในอังกฤษได้ผลิต “ช็อกโกแลตแท่ง” ที่กินได้ และอย่างที่สองคือ แดเนียล พีเทอร์ ได้หาทางผสมนมลงไปใน ช็อกโกแลต กลายเป็นช็อกโกแลตนมที่เราแทะกินกันอย่างเมามันมาจนทุกวันนี้

ในอเมริกา มีการผลิตช็อกโกแลตกันอย่างไม่ลืมหูลืมตากว่าที่ไหนๆในโลก และในปี 1765 โรงงานช็อกโกแลตแห่งแรกก็เกิดขึ้น สมัยนั้นใครๆ ต่างหลงใหลช็อกโกแลตเสียจน หากขาดตลาด ชาวประชาคงหมดกำลังใจที่จะอยู่ดูโลกต่อไปแน่ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลสหรัฐฯตระหนักดีถึงบทบาทสำคัญของช็อกโกแลต ในการบำรุงขวัญกำลังใจและสุขภาพของทหาร จึงได้ส่งเมล็ดโกโก้ ไปให้กองทัพทหาร เป็นจำนวนมาก ทุกวันนี้ ทหารสหรัฐฯ ยังได้รับช็อกโกแลตเป็นเสบียงติดตัว แม้แต่นักบินอวกาศของสหรัฐฯ ยังนำช็อกโกแลตออกไปกินนอกโลกด้วย ให้มนุษย์ต่างดาวน้ำลายไหล

ทายนิสัยของคนรู้ใจ จาก "ช็อกโกแลต"


สำหรับเทศกาลวาเลนไทน์ ช็อกโกแลตเป็นดั่งคำพูดแทนใจจากผู้ให้ถึงผู้รับ สำหรับคนที่กำลังหลงรักใครสักคนช็อกโกแลตคือคำบอกรัก ส่วนสำหรับคู่ที่รักกันแล้วช็อกโกแลตเป็นดั่งความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ตั้งแต่วันแรกที่พบกัน
สำหรับคนที่ชอบกินช็อกโกแลตเป็นชีวิตจิตใจ หารู้ไม่ว่า รสชาติช็อกโกแลตที่ชอบกินสามารถบอกนิสัยของคนที่กินได้
เริ่มต้นด้วย คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลตมิ้นต์ จะมีนิสัยมองไปข้างหน้าและไม่เอาอดีตมาใส่ใจ กฎระเบียบหยุดยั้งเขาไม่ได้ ยกเว้นว่าจะสร้างขึ้นมาเอง เป็นคนจริงใจและเปิดเผย เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และมุ่งมั่น แต่มีข้อเสียตรงที่มุ่งมั่นมากเกินไปจนไม่ยอมปล่อยวาง

สำหรับช็อกโกแลตนม คนที่ชอบกินจะเป็นคนโรแมนติคและอบอุ่น คุยสนุก ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายก็จะเป็นชายในฝันของสาวๆ เลยทีเดียว แต่ข้อเสียคือ เขาใส่ใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าเรื่องของตัวเองเสียอีก

ส่วนคนที่ชอบกินช็อกโกแลตสอดไส้ จะชื่นชอบงานสังคมเป็นพิเศษ และต้องการให้มีคนอยู่รอบข้างเสมอ เป็นคนใจบุญ แต่มีข้อเสียคือ เบื่อง่าย และมักจะเห็นดีเห็นงามกับความคิดคนอื่นทั้งๆ ที่ความคิดนั้นไม่น่าเห็นด้วย

สำหรับหนุ่มสาวที่ชอบกินช็อกโกแลตเวเฟอร์ เป็นคนรักสนุก มีอารมณ์ขัน ช่างพูดช่างคุย และชอบทำให้คนรอบข้างหัวเราะและมีความสุขเสมอ และหากใครได้เป็นเพื่อนจะโชคดีมากๆ เพราะเขาคือเพื่อนแท้ที่ถึงไหนถึงกันเลยทีเดียว

และสุดท้าย คนที่ชอบกินช็อกโกแลตขม เป็นคนที่ไม่ชอบรอคอยอะไรนานๆ และตกหลุมรักง่ายจนกลายเป็นคนเจ้าชู้ เป็นคนใจร้อนแต่ก็เป็นคนช่างคิด ข้อเสียคือ ขาดความอดทนและชอบทำตัวเองให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา

สำหรับการทายนิสัยจากช็อกโกแลตอาจทำให้รู้นิสัยของคนรู้ใจแต่อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด สำหรับสาวๆ ก็ไม่ต้องกลัวหนุ่มที่ชอบกินช็อกโกแลตขม ส่วนหนุ่มๆ ก็ไม่ต้องอยากเป็นคนอบอุ่นจนหันไปชอบช็อกโกแลตนม เพราะความรักเกิดขึ้นมาจากหัวใจไม่ใช่ช็อกโกแลต...

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับChocolate


ใครที่ชอบกินช็อกโกแลตบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์และโทษของช็อกโกแลตมาฝากกัน...

ในอดีตนักเคมีเคยพบว่าช็อกโกแลตมี เฟนิลไธลามิน, ธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน ซึ่งสารเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ในช็อกโกแลตยังให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง หากกินมากเกินไป อาจส่งปัญหาด้านสุขภาพทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

แต่เมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบสารฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลต หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมจะมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจหรือแม้กระทั่งมะเร็งบางชนิด และยังพบว่ายังมีสรรพคุณช่วยให้คลายเครียด เนื่องจากมีสารไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อเอ็นโดรฟินออกมา ช่วยทำให้รู้สึกอารมณ์ดี

ดังนั้น ชาวยุโรปส่วนใหญ่เชื่อว่าการกินช็อกโกแลตจะทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว อีกทั้งยังสามารถช่วยลดไข้รักษาอาการอาหารไม่ย่อยและช่วยให้มีลมหายใจที่หอมสดชื่นอีกด้วยรู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรกินช็อกโกแลตในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพที่ดี

สิ่งที่ได้จากการเรียนวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพ?

ต้องบอกได้เลยว่าวิชานี้สอนให้ดิฉันรู้จักตั้งแต่ความรับผิดชอบ ความเป็นระเบียบ ความตรงต่อเวลา รวมไปถึงการแต่งกายที่ถูกต้อง คือ
1. นักศึกษาทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่องานที่อาจารย์สั่ง
2. นักศึกษาทุกคนต้องมาเข้าแถวรอขึ้นชั้นเรียนให้ตรงต่อเวลาและให้เป็นระเบียบไม่คุยกัน
3. นักศึกษาทุกคนต้องรู้จักการแต่งกายที่ถูกต้องตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
นักศึกษาทุกคนตอนแรกก็มีบ่นกันมากว่าทำไมอาจารย์จะต้องเข้มงวดขนาดนี้ แต่พอเราได้เริ่มเรียนรู้ ได้ทำอะไรหลายๆอย่างก็พึ่งจะเข้าใจว่าที่อาจารย์ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการฝึกนักศึกษาให้เป็นบุคลากรที่จะจบออกไปอย่างมีคุณภาพ สามารถต่อสู้กับสังคมภายนอกได้ ทำให้นักศึกษาเป็นผู้ใหญ่ได้มากขึ้นทีเดียว